แหล่งอ้างอิง สมัครสินเชื่อ >> สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน << เวียดนาม-อินโดนีเซีย สองประเทศน่าลงทุน จับตา! อินโดนีเซียผ่อนปรนข้อจำกัดนำเข้าสินค้าเกษตร
2 ผู้น าตลาด คือ "สเวนเซนส์" ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณร้อยละ 70 นอกจากนี้ยังมี "บาสกิ้น รอบบิ้นส์" และ "บัดส์" ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์จากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นที่เป็นผู้ประกอบการไทยที่วางต าแหน่งผลิตภัณฑ์ในตลาดนี้ได้แก่ "ไอเบอร์รี" "อืมมิลล์" และ "เจลาเต้" เป็นต้น - ตลาด Super Premium เป็นไอศกรีมที่มีราคาสูงที่สุดในตลาด มีสัดส่วนร้อยละ 6 หรือมูลค่าประมาณ 1, 000 ล้านบาท ผู้ประกอบการรายในตลาดเพียงไม่กี่ราย เช่น "ฮาเก้นดาส" "โคลสโตน" และ"ครีมแอนด์ฟัจด์" download PDF
สินค้ากลุ่มผลไม้ เป็นกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมสูง เช่น ทุเรียน ลำไย ลิ้นจี่ มะม่วง ส้มโอ ฝรั่ง ชมพู่ จากรสชาติความอร่อยที่แปลกต่างไปจากผลไม้พื้นเมืองของอินโดนีเซีย จึงทำให้ตลาดผลไม้มีโอกาสมาในตลาดอินโดนีเซีย 2. สินค้าอาหารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงรส อาหารกระป๋อง น้ำผลไม้ ของขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ล้วนมีโอกาสในตลาดอินโดนีเซีย หากแต่ต้องผลิตตามมาตรฐานอาหารฮาลาล มีตราฮาลาลรับรอง เนื่องจากเป็นประเทศมุสลิม 3. ร้านอาหารไทย เป็นธุรกิจที่กำลังได้รับความสนใจจากคนอินโดนีเซีย ภายใต้การดูแลของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความใช้บริการร้านอาหารนอกบ้าน หรือบริการจัดส่งอาหารของคนอินโดนีเซียที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการเติบโตของชนชั้นกลางและร่ำรวยที่มีเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน 4. ร้านเครื่องดื่มไทย กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะเครื่องดื่มประเภท ชาเขียว ชาวเย็น กาแฟเย็น แฟรนไชส์เครื่องดื่มแบรนด์ไทย กำลังบูมในตลาดอินโดนีเซีย รวมถึงร้านเครื่องดื่มอินโดนีเซีย ที่ใช้วัตถุดิบจากไทยก็ได้รับความนิยมด้วยเช่นกัน 5.
สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ระมัดระวังการใช้จ่าย อีกทั้งมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่มีข้อกำหนดห้ามรับประทานที่ร้านอาหารในบางพื้นที่ ทำให้การบริโภคเครื่องดื่มนอกบ้านน่าจะปรับตัวลดลง อีกทั้ง ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหมและต้องปรับเปลี่ยนช่องทางการจัดจำหน่าย ส่งผลให้ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในปีนี้ ไม่สามารถกลับไปเติบโตได้ในระดับเดียวกับปี 2561-2562 โดยมูลค่าตลาดน่าจะอยู่ที่ 1. 97-1. 99 แสนล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 0. 5-1. 5% จากปี 2563 ในช่วงเดือน ก. พ. -เม. ย.
ตลาดนัดจตุจักร จ. กรุงเทพฯ เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้แล้วไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือต่างชาติ มีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักตลาดนัดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดแห่งนี้ มีแผงจำหน่ายสินค้าจำนวนมากมายถึงกว่า 8, 000 แผง เต็มไปด้วยสินค้าที่น่าสนใจ เปิดเฉพาะวันเสาร์ - อาทิตย์เท่านั้น ส่วนตลาดนัดต้นไม้ในสวนจตุจักรนั้นเปิดทุกวัน 6. ตลาดนัดกลางคืน จ. ภูเก็ต เมืองภูเก็ตนับได้ว่าเป็นเมือง ท่องเที่ยว ที่มีสีสันและมนต์เสน่ห์อีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย จึงเป็นจุดหมายของนักเดินทางหลายๆ คนที่ต้องการไปสัมผัสถึงวิถีชีวิตของคนที่นี่ และตลาดนัดกลางคืนของที่นี่ก็สามารถบ่งบอกถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนที่นี่ได้เป็นอย่างดี 7. ตลาดน้ำอัมพวา จ. สมุทรสงคราม มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาที่ตลาดแห่งนี้กันอย่างไม่ขาดสาย เพราะนอกจากไปแวะเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ใกล้เคียงแล้ว จุดหมายปลายทางของหลายๆ คน เมื่อไปเที่ยวตลาดน้ำยามเย็นอัมพวา ก็คือ การไปชม ชิม ชอป อาหาร ที่วางขายตลอดคุ้งน้ำ ทั้งก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย อาหาร ทะเล ปิ้งย่าง ที่ละลานตาจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว 8. สยามสแควร์ จ. กรุงเทพฯ สยามสแควร์ ชื่อนี้ถ้าใครบอกไม่รู้จักคงถูกเพื่อนล้อว่าเชยแหลก แน่นอนว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมแฟชั่นวัยรุ่นมาเนิ่นนานและเป็นแหล่งจับจ่ายของวัยรุ่นที่ไปอัพเดตเทรนด์แฟชั่นด้วย 9.
ผู้ชื้อและผู้ขายมีจำนวนมาก 2. สินค้าที่ซื้อขายมีลักษณะคุณภาพมาตรฐานใกล้เคียงกันมาก 3. การติดต่อซื้อขายจะต้องกระทำได้โดยสะดวก 4. หน่วยธุรกิจสามารถเข้าหรือออกจากธุรกิจการค้าได้โดยง่าย 5. การเคลื่อนย้ายสินค้าและปัจจัยการผลิต จะต้องกระทำได้อย่างสมบูรณ์ ตลาดที่มีการแข่งขันไม่สมบูรณ์ ( non-perfect competition market) เนื่องจากตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์เป็นตลาดที่หาได้ยากเพราะเป็นตลาดในอุดมคติของนักเศรษฐศาสตร์ ตลาดตามสภาพที่แท้จริงในโลกนี้ส่วนใหญ่เป็นตลาดที่มีการแข่งขันไม่สมบูรณ์ ตลาดที่หน่วยผลิตสามารถกระทำการบางอย่างเพื่อควบคุมราคาผลผลิตของตนได้ หรือเป็นผู้กำหนดราคา ( price maker) ได้ ลักษณะสำคัญของตลาด การพิจารณาลักษณะตลาดแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์เราอาจแยกเป็น 2 ลักษณะด้วยกัน คือ ด้านผู้ขายและด้านผู้ซื้อ ดังต่อไปนี้ ทางด้านผู้ขาย 1. ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ( monopsonistic competition) ตลาดประเภทนี้คือตลาดที่มีผู้ซื้อเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ขายมีความพอใจจะขายให้แก่ผู้ซื้อบางคนเท่านั้น มีผู้ขายและสินค้าจำนวนมาก สินค้าที่ขายมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่ไม่สามารถทำให้แตกต่างกันได้ 2. ตลาดที่มีผู้ขายน้อยราย ( oligopsony) คือตลาดที่มีผู้ซื้อเพียงไม่กี่ราย ถ้าผู้ซื้อคนใด เปลี่ยนแปลงปริมาณซื้อก็จะมีผลกระทบกระเทือนราคาตลาดและผู้ซื้อคนอื่นๆด้วย โดยทั่วไปจะมีผู้ขายเพียง 3-5 รายในตลาดเท่านั้น ส่วนใหญ่มักเป็นพวกอุตสาหกรรมหนัก 3.
เพื่อให้ผู้บริโภคมีสินค้าไว้อุปโภคบริโภคตลอดเวลา 2. เพื่อนำสินค้าไปขายถึงถิ่นที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค 3. เพื่อให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้ตามลักษณะที่ต้องการ ความสำคัญของตลาด 1. ช่วยให้ผู้ผลิตทำการผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ช่วยลดความสินเปลืองทรัพยากรผลิตสินค้าที่เกินความต้องการ 2. ช่วยให้ผู้บริโภคมีมาตรฐานการครองชีพสูงขึ้น 3. ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวสูงขึ้น เนื่องจากตลาดมีการจ้างงาน หน้าที่ของการตลาด การตลาด ซึ่งรวมถึงการรับเสี่ยงภัยและการขนส่ง ย่อมมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในฐานะเป็นขั้นหนึ่งของกระบวนการผลิต ทั้งนี้ก็เพราะ การผลิต ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นถือว่าจะมีผลผลิต ก็ต่อเมื่อสินค้าได้ถึงมือผู้บริโภคแล้วเท่านั้น จึงพอสรุปหน้าที่ได้ ดังนี้ • แสวงหาอุปสงค์และคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับอุปสงค์ • เสริมสร้างให้เกิดอุปสงค์ • สนองความต้องการอุปสงค์ 1. การจัดหาสินค้า คือการจัดหาสินค้าและบริการมาเพื่อจำหน่ายแก่ลูกค้า 2. การเก็บรักษาสินค้า การเก็บรักษาสินค้าเพื่อไว้จำหน่ายแก่ผู้บริโภคนั้นมีเหตุผล 2 ประการ คือ ประการแรก เก็บรักษาไว้เพื่อรอเวลาในการจำหน่ายให้ได้ราคาดีเพราะถ้าจำหน่ายใน ช่วงนั้นราคายังต่ำเนื่องจากในช่วงนั้นมีสินค้าเหล่านั้นอยู่มาก ส่วนประการที่สอง เก็บรักษาไว้เพื่อให้มีคุณภาพเหมาะสมแก่การบริโภคเช่น สุรา ถ้าได้มีการเก็บไว้นานๆจะทำให้รสชาติ น่ารับประทานมากขึ้น 3.
การขายสินค้าและบริการ เป็นหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งของตลาดแต่ความหมายของการขายสินค้านั้นอาจมองกว้างไปถึงการส่งเสริมการขายและการโฆษณาชักชวนให้มีการซื้อ หรือ กระทำอย่างใดก็ตามที่เป็นการชักจูงให้ผู้ซื้อซื้อสินค้ามากขึ้นเพื่อเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการให้สูงขึ้น และมีกำไรมากขึ้นด้วย 4. การกำหนดมาตรฐานสินค้า 5. การขนส่งการที่สินค้าจากผู้ผลิตจะถึงมือผู้บริโภคได้ก็ต้องอาศัยการขนส่งทำการขนส่งสินค้าจากโรงงานหรือแหล่งที่ทำการผลิตออกสู่ตลาดและสู่ผู้บริโภค 6. การป้องกันการเสี่ยงภัย หน้าที่ของตลาดที่ตามมาเนื่องจากการมีสินค้าไว้เพื่อจำหน่ายอีกอย่างหนึ่งคือการเสี่ยงต่อภัยที่จะเกิดขึ้น เช่น อัคคีภัย อุทกภัย สินค้าสูญหาย สินค้าราคาต่ำลง โจรกรรม 7. การเงิน หน้าที่ทางการเงินของตลาดจะเข้ามามีบทบาทในทุกขั้นตอนของตลาด ประเภทของตลาด ในการแบ่งตลาดนั้นสามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ กล่าวคือ ประเภทของตลาดแบ่งตามชนิดของผลผลิต ตลาดแบ่งตามชนิดของผลผลิตแบ่งได้ดังนี้ 1. ตลาดปัจจัยการผลิต ( factormarket) คือตลาดที่ทำการซื้อขายปัจจัยที่จะนำไปใช้ทำการผลิตสินค้าหรือบริการต่างๆ 2. ตลาดสินค้า ( product market) คือตลาดที่ทำการขายสินค้าหรือบริการซึ่งผู้ซื้อจะนำไปใช้ในการอุปโภคบริโภคโดยตรง 3.
04 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่ง 11. 2% ของทั้งหมด โดยสินค้าที่อยู่ในความสนใจของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่เหมาะกับการส่งออก คือ อาหารแปรรูป เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องประดับ แผงโซล่าเซลล์ โดยเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูปหากเราสามารถพัฒนารูปแบบสินค้า ออกแบบ ให้มีความน่าสนใจ เข้าใจตรงตามเทรนด์ ก็จะยิ่งเป็นที่น่าสนใจ เนื่องจากคุณภาพและการตัดเย็บของไทยเป็นที่น่ายอมรับ แต่ทั้งนี้ก็ต้องอย่าประมาทคู่แข่งอย่าง จีน อินโดนีเซีย เม็กซิโก แม้คุณภาพสินค้าจะต่ำกว่าของไทย แต่เมื่อมีราคาถูก จึงอาจจะทำให้เราสูญเสียตลาดได้ง่าย อันดับ 3 – ญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นมีส่วนแบ่งด้านการส่งออกสินค้าจากไทยถึง 9. 4% คิดเป็นมูลค่ารวม 754, 855.
ตลาดที่มีการผูกขาดด้านการขายที่แท้จริง ( monopsony) เป็นตลาดที่มีผู้ซื้อเพียงคนเดียว ผู้ซื้อจึงอยู่ในฐานะที่จะกำหนดราคาสินค้าเองได้ เรียกว่าเป็นผู้ผูกขาดในการซื้อ ตลาดที่มีผู้ขายเพียงรายเดียว ผู้ขายจะมีอิทธิพลเหนือราคา ทางด้านผู้ซื้อ 1. ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ( monopolistic competition) ตลาด ประเภทนี้มีลักษณะที่สำคัญ คือ มีผู้ซื้อและผู้ขายเป็นจำนวนมาก และทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างมีอิสระเต็มที่ในการที่จะวางนโยบายการขายและการซื้อของตนโดยไม่กระทบ กระเทือนคนอื่น แต่สินค้าที่ผลิตมีลักษณะหรือมาตรฐานแตกต่างกันถือเป็นสินค้าอย่างเดียวกันแต่ก็มีหลายตรา หลายยี่ห้อ การบรรจุหีบห่อ การโฆษณาต่างกัน ตลาดประเภทนี้มีผู้ซื้อจำนวนมากแต่ผู้ขายพอใจขายให้แก่ผู้ซื้อบางคนเท่านั้น จึงมีทางควบคุมราคาได้บ้าง 2. ตลาดที่มีผู้ซื้อน้อยราคา คือ ( oligopoly) ตลาดประเภทนี้จะมีผู้ขายเพียงไม่กี่ราย และผู้ขายแต่ละรายจะขายสินค้าเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับปริมาณสินค้าทั้งหมดในตลาด ถ้าหากว่า ผู้ขายรายใดเปลี่ยนราคาหรือนโยบายการผลิตและการขายแล้วก็จะกระทบกระเทือนต่อผู้ผลิตรายอื่นๆ ตลาดที่มีผู้ซื้อน้อยมาก ถ้าผู้ซื้อคนใดเปลี่ยนแปลงปริมาณซ้อจะมีผลกระทบกระเทือนราคาตลาดและผู้ซื้อคนอื่น ๆ ด้วย 3.