นั่น……" สามีได้ยินก็ลุกกระโดดโลดเต้น "นั่นแกพูดก่อน แกแพ้ข้าแล้ว ๆๆ" เห็นหรือยังว่า การปรับตัวและยืดหยุ่น ที่หลายคนยังมองข้ามว่ามันมีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ต่อการบริหารการเปลี่ยนแปลงเพียงใด..... อ่านต่อได้ที่: ที่มา วิดีโอ YouTube
การแยกตัว (Isolation) หมายถึงการแยกตัวให้พ้นจากสถานการณ์ที่นำความคับข้องใจมาให้โดยการแยกตนออก ไปอยู่ตามลำพัง 8. การหาสิ่งมาแทนที่ ( Displacement) เป็นการระบายอารมณ์โกรธ หรือคับข้องใจต่อคนหรือสิ่งของที่ไม่ได้เป็นต้น เหตุของความคับข้องใจ เป็นตนว่า บุคคลที่ถูกนายข่มขู่หรือทำให้คับข้องใจ เมื่อกลับมาบ้านอาจจะใช้ภริยา หรือลูกๆ เป็นแพะรับบาป 9. การเลียนแบบ ( Identification) หมายถึงการปรับตัวโดยการเลียนแบบบุคคลที่ตนนิยมยกย่อง การเลียนแบบนอก จากจะเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมือนบุคคลที่ตนเลียนแบบ แม้ยังจะยึดถือค่านิยมและมีความรู้สึกร่วมกับผู้ที่เราเลียน แบบในความสำเร็จ หรือล้มเหลวของบุคคลนั้น การเลียนแบบไม่จำเป็นจะต้องเลียนแบบจากบุคคลจริง ๆ แต่อาจจะ เลียนแบบจากตัวเอกในละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โดยมีความรู้สึกร่วมกับผู้แสดง เมื่อประสบความทุกข์ ความโศก เศร้าเสียใจ หรือเมื่อมีความสุขก็พลอยเป็นสุขไปด้วย
การเก็บกด ( Repression) หมายถึง การเก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือความรู้สึกผิดหวัง ความคับข้องใจไว้ในจิตใต้สำนึก จนกระทั้งลืม กลไกป้องกันตัวประเภทนี้มีอันตราย เพราะถ้าเก็บกดความรู้สึกไว้มากจะมีความวิตกกังวลใจมากและอาจทำให้เป็นโรค ประสาทได้ 2. การป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น ( Projection) หมายถึง การลดความวิตกกังวล โดยการป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น 3. การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง ( Rationalization) หมายถึง การปรับตัวโดยการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง โดยให้คำ อธิบายที่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนอื่น ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่ตีลูกมักจะบอกว่า การตีเพื่อเด็ก เพราะเด็กต้องการการทำโทษ เป็นบางครั้งจะได้เป็นคนดี พ่อแม่จะไม่ยอมรับว่าตีเพราะโกรธลูก 4. การถดถอย ( Regression) หมายถึงการหนีกลับไปอยู่สภาพอดีตที่เคยทำให้ตนมีความสุข 5. การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation) หมายถึงกลไกป้องกันตน โดยการ ทุ่มเทในการแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคมอาจจะไม่ยอมรับ 6. การสร้างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน ( Fantasy หรือ Day Dreaming) กลไกป้องกันตัวประเภทนี้เป็นการ สร้างจินตนาการหรือมโนภาพเกี่ยวกับสิ่งที่ตนมีความต้องการ แต่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงคิดฝัน หรือสร้างวิมานในอากาศขึ้นเพื่อสนองความต้องการชั่วขณะหนึ่ง 7.
๑) การตีความตามเจตนารมณ์ คือการค้นหาความหมายของถ้อยคำในบทกฎหมายจากเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของกฎหมายนั้นๆ เจตนารมณ์ของกฎหมายแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน เช่น เจตนารมณ์ของกฎหมายอาญามุ่งที่จะควบคุมการกระทำความผิดและลงโทษผู้กระทำความผิดในขณะที่กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มุ่งที่จะให้มีการชดใช้เยียวยาความเสียหาย ก. ทฤษฎีอำเภอจิต ซึ่งเห็นว่าสามารถค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมายจากเจตนารมณ์ของผู้บัญญัติกฎหมายนั่นเองในทางประวัติศาสตร์ เช่น พิจารณาจากบันทึก รายงานการประชุมของสภา คำอภิปรายในสภา เป็นต้น ข. ทฤษฎีอำเภอการณ์ ซึ่งเห็นว่าต้องค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นว่ากฎหมายมีความมุ่งหมายอย่างไร อาจผันแปรไปตามบริบททางสังคมที่เปลี่ยนไปได้ เช่น กฎหมายออกในสมัยที่ยังไม่มีวิทยุโทรทัศน์ แม้ภายหลังมีโทรทัศน์ก็สามารถใช้กฎหมายปรับได้ ในการตีความกฎหมายควรใช้ทั้งสองทฤษฎีประกอบกันเพราะลำพังใช้ทฤษฎีได้ทฤษฎีหนึ่งนั้นจะเป็นข้อบกพร่อง 2 ๒. ประเภทของการตีความ การตีความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยมี ๓ ประเภท คือ ๑. ) การตีความตามมาตรา ๔ วรรคแรกบัญญัติว่า "กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใดๆแห่งกฎหมายตามตัวอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น" ๒. )
การบริหารลูกค้า การศึกษาความสนใจและความต้องการของลูกค้าจะเป็นการสร้างความพึงพอใจ และเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ให้แก่องค์การ 8. การลงทุนทางทรัพยากรมนุษย์ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันผ่านการเรียนรู้ร่วมกัน การจัดการด้านเอกสาร การจัดการกับความไม่เป็นทางการเพิ่มความสามารถให้แก่องค์การในการจังและฝึกฝนบุคลากร
ความรู้ คือ สารสนเทศที่นำไปสู่การปฏิบัติ เป็นเนื้อหาข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความคิดเห็น ทฤษฎี หลักการ รูปแบบ กรอบความคิด หรือข้อมูลอื่นๆ ที่มีความจำเป็น และเป็นกรอบของการผสมผสานระหว่างประสบการณ์ ค่านิยม ความรอบรู้ในบริบท สำหรับการประเมินค่า และการนำเอาประสบการณ์กับสารสนเทศใหม่ ๆ มาผสมรวมเข้าด้วยกัน ชั้นของความรู้เป็นอย่างไร?
Ego หรืออัตตา คือตัวตนที่เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ทำ ให้บุคคลรู้สึกรับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เป็นตัวประนีประนอมระหว่างความต้องการทางชีววิทยากับความต้องการทางสังคม 3. Super-ego เป็นส่วนที่กำ หนดอุดมคติของบุคคล ตัวตนแบบนี้มีความหมายเท่ากับตัวมโนธรรม มักเกิดในสังคมที่มีการเน้นระเบียบวินัย การขัดเกลาทางสังคมช่วยสร้างตัวตนขึ้นมา 3 อย่าง คือ 1. ภาพเกี่ยวกับตัวตน (Self-image) โดยอาศัยการปะทะสัมพันธ์กับคนอื่น และโดยอาศัยภาษา ทำ ให้บุคคลเกิดความคิดเกี่ยวกับตนเองว่าเป็น "ฉัน" ( I) Cooley กล่าวว่า "พฤติกรรมของคนที่มีต่อบุคคลนั้นเป็นเหมือนกระจกเงาที่ช่วยให้มองเห็นตัวเองว่าเป็นใคร 2. ตัวตนในอุดมคติ(Ideal-self) สร้างขึ้นจากทัศนคติที่คนอื่นมีต่อตน คนอาจสร้างภาพของสิ่งที่ควรจะเป็น เพื่อแสวงหาความรักและการรับรอง 3. ตัวตนปฏิบัติการ (Ego) เป็นสิ่งที่เราได้ทำ ไปในแต่ละวัน โดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่เพื่อมุ่งหวังให้เด็กควบคุมและพึ่งตนเองได้ ซึ่งเป็นช่วงสำ หรับการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมและส่งเสริมการเป็นปึกแผ่นของตัวตน เช่น ความอดทน การมีระเบียบ การยอมรับผิด วัยที่จำเป็นต่อการขัดเกลาทางสังคม 1. เด็ก 2.